วิธีการเขียนรายงาน ฉบับสมบูรณ์

ส่งต่อให้เพื่อนอ่าน :
Print Friendly, PDF & Email

การเขียนรายงานเป็นส่วนประกอบหนึ่งในการเรียนของนักเรียนที่จะต้องมีการจัดวางรูปแบบและโครงสร้างของบทความให้ถูกต้อง ซึ่งการเขียนรายงานที่ถูกต้องควรมีรูปแบบ ดังนี้

  • ปกใส (กระดาษใส ขนาด A4 ปกป้องการเปียกน้ำ หรือเลอะสิ่งสกปรก)
  • ปกนอก
  • หน้ารองปก (กระดาษเปล่า)
  • หน้าปกใน (รายละเอียดเหมือนหน้าปกแต่ใช้กระดาษสีขาว)
  • คำนำ
  • สารบัญ
  • เนื้อเรื่อง โดยประกอบด้วย บทนำ ส่วนเนื้อหา บทสรุป
  • บรรณานุกรมหรือเอกสารอ้างอิง
  • ภาคผนวก
  • รองปกหลัง (กระดาษเปล่า)
  • ปกใน รายละเอียดเหมือนหน้าปกแต่ใช้กระดาษสีขาว
  • ปกใส เหมือนด้านหนัา

 ปกนอก

เลือกกระดาษที่มีความหนาหรือแข็งพอสมควร และสี ลวดลาย ก็ควรเหมาะกับเนื้อหาภายในเล่ม ซึ่งวิธีการเขียนปกรายงาน ประกอบด้วย

  1. ชื่อเรื่องรายงาน โดยให้อยู่กึ่งกลางกระดาษพอดี ใช้ขนาดอักษร 26 ตัวหนา
  2. ชื่อ – นามสกุลของผู้ทำรายงาน อยู่กึ่งกลางหน้ากระดาษ แต่ถ้าเป็นรายงานกลุ่ม ก็ให้น้องๆ ใส่ชื่อทุกคน โดยเรียงลำดับตามตัวอักษร ใช้ขนาดอักษร 22
  3. ชั้น – เลขที่ เช่น ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ … ห้อง เลขที่ ใช้ขนาดอักษร 22
  4. เสนอรายงาน ชื่ออาจารย์ ใช้ขนาดอักษร 22
  5. ชื่อรายวิชา ชื่อโรงเรียน หรือสถาบัน ภาคการศึกษา ปีการศึกษา ใช้ขนาดอักษร 20

การตั้งค่าหน้ากระดาษ เพื่อจัดหน้ารายงาน

  • ซ้าย ระยะห่างเท่ากับ 1.5 นิ้ว
  • ขวา ระยะห่างเท่ากับ 1 นิ้ว
  • บน ระยะห่างเท่ากับ 1.5 นิ้ว
  • ล่าง ระยะห่างเท่ากับ 1 นิ้ว
    หมายเหตุ 1 นิ้ว เท่ากับ 2.54 เซนติเมตร

ตัวอย่างปกรายงาน

ที่มาของบทความ

https://teen.mthai.com/education/166121.html
ส่งต่อให้เพื่อนอ่าน :

การใช้เหตุผลเชิงตรรกะในการแก้ไขปัญหา: วิธีคิดวิเคราะห์เพื่อการตัดสินใจที่มีประสิทธิภาพ

การใช้เหตุผลเชิงตรรกะในการแก้ไขปัญหา บทนำ การใช้เหตุผลเชิงตรรกะเป็นหนึ่งในทักษะที่สำคัญที่ช่วยให้เราสามารถแก้ไขปัญหาได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไม่ว่าจะเป็นปัญหาในชีวิตประจำวันหรือในที่ทำงาน การมีเหตุผลเชิงตรรกะช่วยให้เรามองเห็นปัญหาในมุมที่ชัดเจน และสามารถหาทางแก้ไขได้อย่างตรงจุด ความหมายและพื้นฐานของเหตุผลเชิงตรรกะ ความหมายของเหตุผลเชิงตรรกะ เหตุผลเชิงตรรกะหมายถึงการใช้ความคิดอย่างมีระบบระเบียบเพื่อให้ได้ข้อสรุปที่ถูกต้อง โดยอาศัยหลักการทางคณิตศาสตร์และปรัชญา ซึ่งช่วยให้เรามองเห็นความสัมพันธ์ระหว่างข้อมูลต่างๆ และสามารถวิเคราะห์ได้อย่างถูกต้อง หลักการพื้นฐานของเหตุผลเชิงตรรกะ หลักการพื้นฐานของเหตุผลเชิงตรรกะประกอบด้วย: ความชัดเจน (Clarity) ความถูกต้อง (Accuracy) ความสม่ำเสมอ (Consistency) การเป็นเหตุเป็นผล (Relevance) ความแตกต่างระหว่างเหตุผลเชิงตรรกะกับเหตุผลเชิงอารมณ์ เหตุผลเชิงตรรกะเน้นที่การใช้ความคิดและการวิเคราะห์อย่างมีระบบ ขณะที่เหตุผลเชิงอารมณ์เน้นที่ความรู้สึกและการตอบสนองทางอารมณ์ ประโยชน์ของการใช้เหตุผลเชิงตรรกะในการแก้ไขปัญหา การปรับปรุงการตัดสินใจ การใช้เหตุผลเชิงตรรกะช่วยให้เราสามารถตัดสินใจได้อย่างมีข้อมูลและมีความมั่นใจมากขึ้น ซึ่งลดความเสี่ยงในการตัดสินใจผิดพลาด การลดความขัดแย้ง การมีเหตุผลเชิงตรรกะช่วยให้เรามีความสามารถในการเจรจาและแก้ไขความขัดแย้งอย่างเป็นเหตุเป็นผล ทำให้สามารถหาทางออกที่ทุกฝ่ายยอมรับได้ การเพิ่มประสิทธิภาพในที่ทำงาน ในที่ทำงาน การใช้เหตุผลเชิงตรรกะช่วยให้การทำงานเป็นระบบมากขึ้น ลดความผิดพลาดและเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน ขั้นตอนในการใช้เหตุผลเชิงตรรกะ การระบุปัญหา ขั้นตอนแรกคือการระบุปัญหาอย่างชัดเจน โดยการตั้งคำถามเพื่อหาสาเหตุที่แท้จริงของปัญหา การรวบรวมข้อมูล รวบรวมข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับปัญหา ทั้งข้อมูลที่เป็นจริงและข้อมูลที่อาจมีผลกระทบต่อการตัดสินใจ การวิเคราะห์ข้อมูล วิเคราะห์ข้อมูลที่รวบรวมมา เพื่อหาความสัมพันธ์และความเชื่อมโยงระหว่างข้อมูลต่างๆ การประเมินทางเลือก ประเมินทางเลือกที่มีอยู่ โดยพิจารณาข้อดีและข้อเสียของแต่ละทางเลือก การตัดสินใจและการดำเนินการ ตัดสินใจเลือกทางเลือกที่ดีที่สุดและดำเนินการตามแผนที่วางไว้ ตัวอย่างการใช้เหตุผลเชิงตรรกะในชีวิตประจำวัน การจัดการเวลา การใช้เหตุผลเชิงตรรกะในการจัดการเวลา...

การใช้เครื่องมือดิจิทัลเพื่อสื่อสารกับผู้ปกครองในระบบการศึกษา

การใช้เครื่องมือดิจิทัลเพื่อสื่อสารกับผู้ปกครองในระบบการศึกษาเป็นวิธีที่ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เนื่องจากเครื่องมือเหล่านี้มีประสิทธิภาพในการสร้างความเข้าใจและความร่วมมือระหว่างโรงเรียนและผู้ปกครอง นี่คือการนำเสนอวิธีการและประโยชน์ของการใช้เครื่องมือดิจิทัลในการสื่อสารกับผู้ปกครอง: 1. แพลตฟอร์มการสื่อสารเฉพาะด้านการศึกษา เครื่องมืออย่าง ClassDojo, Seesaw, และ Edmodo เป็นแพลตฟอร์มที่ออกแบบมาเพื่อการสื่อสารระหว่างครู ผู้ปกครอง และนักเรียนโดยเฉพาะ ผู้ปกครองสามารถติดตามความก้าวหน้าของบุตรหลาน และรับข้อมูลสำคัญเกี่ยวกับกิจกรรมการเรียนการสอนได้อย่างรวดเร็วและสะดวก 2. อีเมลและจดหมายข่าวดิจิทัล การใช้อีเมลและจดหมายข่าวดิจิทัลเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพในการสื่อสารกับผู้ปกครอง ข้อดีของวิธีนี้คือสามารถส่งข้อมูลได้อย่างรวดเร็วและตรงจุด นอกจากนี้ยังสามารถแนบไฟล์หรือเอกสารสำคัญเพิ่มเติมได้ 3. แอปพลิเคชันสำหรับการส่งข้อความ แอปพลิเคชันเช่น LINE, WhatsApp, และ...

ใช้หลัก SMART ในการกำหนดวัตถุประสงค์

หลัก SMART เป็นกรอบการทำงานที่ช่วยในการกำหนดวัตถุประสงค์อย่างมีประสิทธิภาพ ประกอบด้วย 5 องค์ประกอบหลักคือ Specific (เฉพาะเจาะจง), Measurable (วัดผลได้), Achievable (สามารถทำได้), Relevant (สอดคล้อง), และ Time-bound (มีกรอบเวลาชัดเจน) การใช้หลัก SMART ช่วยให้การวางแผนและการบรรลุเป้าหมายเป็นไปอย่างมีระบบและสามารถตรวจสอบได้ง่ายขึ้น Specific...

วิธีการสร้างบทเรียน: ขั้นตอนและแนวทางเพื่อการเรียนรู้ที่มีประสิทธิภาพ

การสร้างบทเรียน การสร้างบทเรียนเป็นกระบวนการที่สำคัญสำหรับการศึกษา เพื่อให้ผู้เรียนสามารถเรียนรู้และเข้าใจเนื้อหาได้อย่างมีประสิทธิภาพ นี่คือขั้นตอนและแนวทางในการสร้างบทเรียน: 1. กำหนดวัตถุประสงค์ของบทเรียน ระบุวัตถุประสงค์การเรียนรู้ที่ชัดเจน ว่าผู้เรียนควรจะได้อะไรจากบทเรียนนี้ ใช้หลัก SMART (Specific, Measurable, Achievable, Relevant, Time-bound) ในการกำหนดวัตถุประสงค์ 2. วิเคราะห์ผู้เรียน ศึกษาความรู้พื้นฐานและความต้องการของผู้เรียน พิจารณาระดับความรู้ ประสบการณ์ และวิธีการเรียนรู้ที่เหมาะสม 3. ออกแบบเนื้อหาและกิจกรรม เลือกเนื้อหาที่สำคัญและตรงตามวัตถุประสงค์ จัดโครงสร้างเนื้อหาอย่างเป็นระบบ เริ่มจากเรื่องง่ายไปยาก วางแผนกิจกรรมที่มีส่วนร่วม เช่น การอภิปราย กลุ่มงาน...

About ครูออฟ 1257 Articles
https://www.kruaof.com