คำอธิบายรายวิชา
นักเรียนจะได้เรียนรู้เกี่ยวกับกระบวนการคิดและการใช้เหตุผลเชิงตรรกะในการแก้ปัญหาอย่างเป็นขั้นตอน มีทักษะในการวิเคราะห์ และสามารถนำความรู้ไปใช้ในชีวิตประจำวันได้จริง โดยบทเรียนนี้เป็นส่วนหนึ่งของสาระวิทยาการคำนวณ สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ตามหลักสูตร สสวท. พ.ศ. 2560
ปีการศึกษา 2568 | อัปเดตล่าสุด: กรกฎาคม 2568
บทที่ 1: ความเข้าใจเกี่ยวกับการใช้เหตุผลในการแก้ปัญหา
การใช้เหตุผลคืออะไร
การใช้เหตุผล หมายถึง การคิดอย่างมีขั้นตอน คิดให้รอบด้าน ก่อนตัดสินใจทำสิ่งใดสิ่งหนึ่ง โดยอาศัยข้อมูล ข้อเท็จจริง และตรรกะ เพื่อให้การตัดสินใจนั้นมีเหตุผล และสามารถอธิบายให้คนอื่นเข้าใจได้
ตัวอย่างสถานการณ์จริงที่ต้องใช้เหตุผล
- ถ้าเราเห็นขนมหล่นที่พื้น → เราจะคิดก่อนว่า
“หล่นนานหรือยัง? สะอาดหรือเปล่า?” → แล้วค่อยตัดสินใจว่า “ควรเก็บกินไหม?” - เดินทางไปโรงเรียนสายบ่อย → เราใช้เหตุผลวิเคราะห์ว่าเกิดจากอะไร เช่น ตื่นสาย รถติด → แล้วจึงหาวิธีปรับแก้
- เมื่อนักเรียนลืมทำการบ้าน → ถ้าใช้เหตุผล จะคิดหาทางแก้ เช่น รีบทำตอนเช้าหรือขอเวลาส่งเพิ่ม
- ถ้าทะเลาะกับเพื่อน → จะหยุดคิดก่อนว่าควรพูดอะไร เพื่อไม่ให้เรื่องบานปลาย
ความสำคัญของการคิดอย่างมีเหตุผล
การคิดอย่างมีเหตุผลช่วยให้เรา:
- ตัดสินใจได้ถูกต้อง ไม่รีบร้อนหรือใช้อารมณ์เป็นหลัก
- วางแผนแก้ปัญหาได้อย่างมีทิศทาง
- สื่อสารกับผู้อื่นได้เข้าใจง่าย เพราะมีหลักฐาน มีเหตุผลประกอบ
- คิดอย่างสร้างสรรค์และรอบคอบ เมื่อเผชิญปัญหาหรือสถานการณ์ยาก
การฝึกคิดอย่างมีเหตุผลในวัยประถม
- ช่วยให้นักเรียน “คิดก่อนพูด คิดก่อนทำ”
- เป็นพื้นฐานของการใช้ชีวิตอย่างมีวินัยและมีเหตุผล
- เป็นทักษะที่จำเป็นสำหรับการเรียนรู้วิชาคณิต วิทย์ และเทคโนโลยี

บทที่ 2: ขั้นตอนการแก้ปัญหาแบบเป็นระบบ
เมื่อเราเจอปัญหา ไม่ว่าจะเล็กน้อยอย่าง “ลืมสมุดการบ้าน” หรือซับซ้อนอย่าง “ทำโปรเจกต์กลุ่มแล้วเพื่อนขาดความร่วมมือ” สิ่งสำคัญที่สุดคือ ไม่ควรรีบตัดสินใจด้วยอารมณ์ แต่ควร “คิดอย่างเป็นระบบ” เพื่อหาทางแก้ไขอย่างมีประสิทธิภาพ
การแก้ปัญหาแบบเป็นระบบ หมายถึง การจัดกระบวนการคิดอย่างมีลำดับขั้นตอน เริ่มจากเข้าใจปัญหา → วางแผน → ลงมือทำ → ตรวจสอบผล ซึ่งจะช่วยให้เราสามารถจัดการกับปัญหาได้ดีขึ้น ไม่สับสน และมีโอกาสสำเร็จมากขึ้น โดยขั้นตอนการแก้ปัญหาแบบเป็นระบบ มีด้วยกัน 4 ขั้นตอนได้แก่
เข้าใจปัญหา
เราต้องรู้ก่อนว่า “ปัญหาคืออะไรแน่?”
อย่าเพิ่งแก้ ถ้ายังไม่เข้าใจว่าจริง ๆ แล้วเกิดจากอะไร
ตัวอย่าง:
นักเรียนลืมทำการบ้าน → อย่าเพิ่งรีบโทษตัวเอง → ถามตัวเองว่า “ลืมจริง ๆ หรือไม่ได้จดไว้ตั้งแต่แรก?”
วางแผนแก้ปัญหา
คิดว่าจะจัดการอย่างไรดี มีวิธีไหนบ้าง เขียนหรือคิดไว้ล่วงหน้าจะช่วยให้ไม่พลาด
ตัวอย่าง:
เมื่อรู้ว่าไม่ได้ทำการบ้าน → วางแผน
- รีบทำในตอนพัก
- ขอโอกาสขยายเวลา
- ขอความช่วยเหลือจากเพื่อนในการอธิบาย
ลงมือดำเนินการ
ลงมือทำตามแผนที่คิดไว้ ทำอย่างตั้งใจ ไม่ผลัดวันประกันพรุ่ง
ตัวอย่าง:
เลือกวิธี “รีบทำช่วงพัก” → ก็ไปหามุมเงียบ ๆ แล้วทำทันที ไม่มัวแต่เล่นหรือแชท
ตรวจสอบผลลัพธ์
ดูว่าสิ่งที่เราทำไปได้ผลไหม ยังมีอะไรที่ต้องแก้เพิ่มอีกหรือไม่?
ตัวอย่าง:
ทำเสร็จแล้ว → ตรวจให้ครบ → ส่งครู
ถ้าทันเวลา = สำเร็จ
ถ้าไม่ทัน = คิดไว้เลยว่าครั้งหน้าจะจดการบ้านให้แม่นขึ้น
สรุปง่าย ๆ
การแก้ปัญหาแบบเป็นระบบ ช่วยให้…
- คิดเป็นขั้นตอน
- ไม่รีบร้อน
- ไม่ลืมอะไร
- และแก้ได้จริง!

บทที่ 3: การคิดอย่างมีตรรกะ (Logical Thinking)
ความหมายแบบเข้าใจง่าย
การคิดอย่างมีตรรกะ คือ การคิดอย่างมีเหตุผล มีลำดับ ไม่คิดตามอารมณ์ ใช้หลัก “ถ้า… แล้ว…” หรือ “เพราะว่า… จึง…” เพื่อวิเคราะห์เรื่องต่าง ๆ อย่างมีแบบแผน
ทำไมต้องคิดอย่างมีตรรกะ?
- ช่วยให้เราตัดสินใจได้แม่นยำ
- ลดการเข้าใจผิดหรือด่วนสรุป
- เป็นพื้นฐานสำคัญของการเขียนโปรแกรม และการคิดวิเคราะห์ในวิชาต่าง ๆ
การใช้เหตุผลแบบ “ถ้า… แล้ว…”
การใช้เหตุผลแบบ “ถ้า… แล้ว…” เป็นการเชื่อมโยงเหตุการณ์หนึ่งเข้ากับผลลัพธ์ที่จะเกิดขึ้นอย่างมีตรรกะ เช่น:
ถ้าเกิดสิ่งนี้ → แล้วสิ่งนั้นจะตามมา
รูปแบบนี้เรียกว่า “เงื่อนไข (Condition)” ซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญของการคิดวิเคราะห์ การแก้ปัญหา และการเขียนโปรแกรม
ตัวอย่างในชีวิตประจำวัน
- ถ้าไม่ทำการบ้าน → แล้วจะถูกครูหักคะแนน
- ถ้าตื่นสาย → แล้วจะไปโรงเรียนไม่ทัน
- ถ้าอากาศร้อนมาก → แล้วควรดื่มน้ำเยอะ ๆ
ลองคิดแบบนี้…
ปัญหา: ทำไมถึงง่วงในห้องเรียน?
ถ้าเมื่อคืนเล่นเกมดึก → แล้วตอนเช้าจะตื่นสาย → แล้วพอถึงเวลาเรียนจะง่วง

การคิดแบบเปรียบเทียบ และการอนุมาน
ความหมายแบบเข้าใจง่าย
การคิดแบบเปรียบเทียบ
คือ การดูว่าสิ่งของ เหตุการณ์ หรือข้อมูล 2 อย่างขึ้นไป “เหมือนหรือแตกต่างกันอย่างไร”
ใช้เพื่อช่วยตัดสินใจ เลือกสิ่งที่ดีที่สุด หรือเข้าใจสิ่งต่าง ๆ ได้ชัดเจนขึ้น
การคิดแบบอนุมาน
คือ การ “สรุปผลจากข้อมูลที่มีอยู่” แม้จะยังไม่เห็นทุกอย่างครบถ้วน เช่น คาดเดาแนวโน้ม หรือผลลัพธ์จากสิ่งที่เกิดขึ้น
ตัวอย่างในชีวิตประจำวัน
การคิดแบบเปรียบเทียบ:
| สิ่งที่เปรียบเทียบ | สิ่งที่เหมือนกัน | สิ่งที่ต่างกัน |
|---|---|---|
| ขนมปังปิ้ง กับ ขนมปังแซนด์วิช | เป็นขนมปังเหมือนกัน | แซนด์วิชมีไส้ ปิ้งไม่มี |
| รถจักรยาน กับ รถมอเตอร์ไซค์ | มีล้อ ใช้เดินทาง | จักรยานไม่มีเครื่องยนต์ |
การคิดแบบอนุมาน:
- เห็นเพื่อนนั่งเงียบในมุมห้อง → อนุมานว่า “เพื่อนอาจมีเรื่องเครียด”
- ฝนตั้งเค้าเมฆดำเต็มฟ้า → อนุมานว่า “อีกไม่นานฝนอาจตก”

บทที่ 4: เครื่องมือช่วยวิเคราะห์ปัญหา
การแก้ปัญหาที่ดีไม่ใช่แค่คิดด้วยสมองเท่านั้น แต่การ “วาดภาพ” หรือ “จัดระบบความคิด” ออกมาให้เห็นชัดเจนจะช่วยให้เราเข้าใจปัญหาง่ายขึ้น และเลือกวิธีแก้ไขได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ผังความคิด (Mind Map)
ใช้แสดงแนวคิดที่แตกออกจากหัวข้อหลัก ทำให้เห็นความเชื่อมโยงของความคิด
ตัวอย่าง:
หัวข้อ: “การบ้านหาย”
→ สาเหตุ: วางลืม / เพื่อนไว้ผิดที่ / ถูกสุนัขกัด
→ วิธีแก้: ถามเพื่อน / ทำใหม่ / บอกครู
ผังเหตุและผล (Cause-Effect Diagram)
ใช้เพื่อดูว่าสิ่งหนึ่งเกิดจากอะไร และส่งผลต่ออะไรบ้าง
ตัวอย่าง:
เหตุ: เล่นมือถือก่อนนอน
→ ผล: ตื่นสาย → ไปโรงเรียนสาย → โดนหักคะแนน
ตารางเปรียบเทียบ (Comparison Table)
ใช้เพื่อเปรียบเทียบข้อดีข้อเสีย หรือตัวเลือกในการแก้ปัญหา
ตัวอย่าง:
| วิธีแก้ปัญหา | ข้อดี | ข้อเสีย |
|---|---|---|
| ทำการบ้านตอนเย็น | ทำได้ทันเวลา | อาจเหนื่อยจากเรียนทั้งวัน |
| ทำตอนเช้า | สดชื่นสมองปลอดโปร่ง | เสี่ยงทำไม่ทัน |
ประโยชน์ของเครื่องมือเหล่านี้
- ช่วยให้นักเรียนคิดอย่างมีระบบ
- มองเห็นภาพรวมของปัญหาและแนวทางแก้ไข
- ฝึกทักษะการจัดการข้อมูล (Data organization)

บทที่ 5: การประยุกต์ใช้ในชีวิตจริง
เมื่อเราเรียนรู้การใช้เหตุผล การคิดวิเคราะห์ และการแก้ปัญหาอย่างเป็นระบบแล้ว สิ่งสำคัญที่สุดคือ การนำไปใช้จริงในชีวิตประจำวัน เพราะความรู้จะมีประโยชน์ก็ต่อเมื่อ “ได้ลงมือใช้”
ตัวอย่างสถานการณ์ที่สามารถประยุกต์ใช้ได้
ในโรงเรียน:
- ถ้าเพื่อนทำให้ไม่พอใจ → ไม่ควรโกรธทันที → ควรคิดก่อนว่า “เพราะอะไรเขาถึงทำแบบนั้น?”
- ลืมอุปกรณ์เรียน → ใช้เหตุผลพิจารณาว่าจะยืมเพื่อนดีไหม หรือจะหาทางอื่นแก้
ที่บ้าน:
เวลาทะเลาะกับพี่น้อง → ใช้เหตุผลพูดคุย ไม่ใช้อารมณ์
อยากได้ของเล่น → คิดว่า “จำเป็นไหม?”, “ควรเก็บเงินเองหรือไม่?”
วิธีฝึกประยุกต์ใช้ในชีวิตจริง
- ตั้งสติทุกครั้งที่มีปัญหา
ไม่ด่วนตัดสินใจโดยใช้อารมณ์ - ลองวิเคราะห์สาเหตุ
ใช้ผังเหตุและผล หรือถามตัวเองว่า “เกิดจากอะไร?” - วางแผนทางเลือกก่อนทำ
เขียนหรือคิดล่วงหน้าไว้ 2–3 วิธี - ลงมือทำ และทบทวน
ถ้าทำแล้วไม่ได้ผล → ปรับปรุงใหม่ได้เสมอ
กิจกรรมในห้องเรียน
“สถานการณ์จำลอง”
ครูแบ่งกลุ่มนักเรียนให้แต่ละกลุ่มแก้ปัญหา เช่น:
- เพื่อนไม่ยอมทำงานกลุ่ม
- ถูกเข้าใจผิดว่าโกงข้อสอบ
ให้แต่ละกลุ่มนำเสนอแนวทางแก้ปัญหาที่ใช้เหตุผลและตรรกะ พร้อมอธิบายว่า “ทำไมถึงเลือกวิธีนี้”
คำถามชวนคิด
- เธอเคยใช้เหตุผลเพื่อแก้ปัญหาอะไรในชีวิตจริง?
- วิธีคิดอย่างมีระบบช่วยให้ผลลัพธ์ต่างจากเดิมอย่างไร?
