หลังจากเจ้าชายสิทธัตถะเสด็จออกผนวชแล้ว พระเจ้าสุทโธทนะ ทรงเสียพระทัยมาก เมื่อพระพุทธเจ้าและเหล่าพระสาวกประกาศพระพุทธศาสนา ในแคว้นมคธ พระเจ้าสุทโธทนะทรงทราบข่าว จึงมีพระบรมราชโองการให้อำมาตย์ ชื่อ กาฬุทายีไปทูลเชิญพระพุทธเจ้าเสด็จมายังกรุงกบิลพัสดุ์ กาฬุทายีอำมาตย์ ได้เข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าฟังพระธรรมเทศนาเกิดความเลื่อมใสจนบรรลุธรรมและทูล ขออุปสมบท เมื่อได้อุปสมบทแล้วถึงเวลาที่เหมาะสมจึงกราบทูลเชิญพระพุทธเจ้า เสด็จกลับกรุงกบิลพัสดุ์
เมื่อพระเจ้าสุทโธทนะทราบข่าวว่า พระพุทธเจ้าจะเสด็จมาที่กรุงกบิลพัสดุ์ พระองค์จึง ทรงจัดนิโครธารามให้เป็นที่ประทับ เมื่อถึงเวลารุ่งเช้า พระพุทธเจ้าเสด็จออกบิณฑบาตในกรุงกบิลพัสดุ์ พระเจ้าสุทโธทนะทรงรู้สึกอับอายและเสียพระทัย ที่เห็นพระราชโอรสบิณฑบาตอาหารจากชาวบ้าน จึงทรงรีบไปห้าม พระพุทธเจ้าจึงทรงแสดงธรรมเทศนาแก่พระบิดาจนบรรลุโสดาปัตติผล จากนั้น พระเจ้าสุทโธทนะจึงอาราธนาพระพุทธเจ้าและ พระสงฆ์ไปรับภัตตาหารในเมือง เมื่อฉันภัตตาหารเสร็จแล้วพระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมโปรดพระประยุรญาติจนดวงตาเห็นธรรม และเกิดความเลื่อมใสยอมรับนับถือในพระพุทธศาสนา นันทกุมารซึ่งเป็น พระอนุชาต่างพระมารดา ทูลขออุปสมบทเป็นพระภิกษุ และได้บรรลุเป็นพระอรหันต์ ในเวลาต่อมา วันหนึ่งพระนางยโสธราได้ให้เจ้าชายราหุลทูลขอทรัพย์สมบัติ แต่พระพุทธเจ้าทรงเห็นว่าทรัพย์สมบัติเป็นสิ่งที่ไม่จีรังยั่งยืน จึงทรงประทาน ทรัพย์ที่ประเสริฐกว่าให้แทน คือ หลักคำสอนที่เรียกว่า อริยทรัพย์ (ทรัพย์ที่ ประเสริฐ) โดยทรงให้เจ้าชายราหุลบรรพชาเป็นสามเณร (สามเณรราหุลจึงเป็น สามเณรรูปแรกในพระพุทธศาสนา)
เมื่อพระเจ้าสุทโธทนะทรงทราบข่าวก็ทรงเสียพระทัยที่ไม่มีรัชทายาทสืบทอด จึงเสด็จไปเฝ้าพระพุทธเจ้า และทูลขอร้องพระพุทธเจ้าว่า “ถ้าจะบวชบุตรหลานใคร ขอให้พ่อแม่เขาได้อนุญาตก่อน เพราะอาจจะทำให้ผู้เป็นพ่อแม่ได้รับความเดือดร้อน” หลังจากนั้นจึงทรงบัญญัติเป็นพระวินัยไว้สืบต่อมาจนถึงปัจจุบัน